ตัวเลขช็อกโลก! จีนตุนทองคำ $4.59$ ล้านล้านบาท 13 เดือนติด! ทำไมการกระทำนี้ถึงส่งผลดีกับ “บิทคอยน์” ทั้งที่จีนแบน?

ตัวเลขช็อกโลก! จีนตุนทองคำ $4.59$ ล้านล้านบาท 13 เดือนติด! ทำไมการกระทำนี้ถึงส่งผลดีกับ “บิทคอยน์” ทั้งที่จีนแบน?

ข่าวสาร
December 15, 2025 by cryptocamping
Frame 1130 - 2025-12-15T144734.368

มังกรจีนขยับตัวแรง! ธนาคารกลางจีน (PBoC) เดินหน้ากวาดซื้อทองคำเข้าคลังสำรองต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกัน ตอกย้ำยุทธศาสตร์การหนีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหญ่ โดยมูลค่าการถือครองทองคำล่าสุดของจีนนั้นอยู่ที่ประมาณ $4.59$ ล้านล้านบาท นักวิเคราะห์คริปโตฯ ชี้ว่า แม้จีนจะเมินบิทคอยน์ แต่พฤติกรรมการตุน “สินทรัพย์นอกระบบ” (Outside Money) ครั้งนี้ กลับเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลเพียงหนึ่งเดียวที่ไร้ความเสี่ยงจากคู่สัญญาและอำนาจรัฐแทรกแซงโดยปริยาย


การที่ธนาคารกลางจีนเพิ่มการถือครองทองคำอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายปี 2565 นั้น สอดคล้องกับเทรนด์ของธนาคารกลางทั่วโลกที่เร่งสะสมทองคำในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การเคลื่อนไหวนี้มีนัยสำคัญมากกว่าแค่เรื่องของปริมาณ แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างขององค์ประกอบทุนสำรองระหว่างประเทศ จุดเปลี่ยนสำคัญคือเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปอายัดทรัพย์สินของธนาคารกลางรัสเซียในปี 2565 ซึ่งทำให้นิยามของ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Risk-free Assets) ถูกตั้งคำถามอย่างรุนแรง ธนาคารกลางทั่วโลกต่างตระหนักว่าสินทรัพย์ที่เคยเชื่อว่าปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แท้จริงแล้วคือ “Inside Money” หรือหนี้สินของผู้อื่นที่อาจถูกระงับการเข้าถึงได้เมื่อเกิดความขัดแย้ง ในทางตรงกันข้าม ทองคำคือ “Outside Money” ที่มีมูลค่าในตัวเอง ไม่ใช่ภาระผูกพันของใคร และสามารถชำระบัญชีได้ทางกายภาพโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบตัวแทนที่อาจถูกแทรกแซงได้

นี่คือจุดที่บิทคอยน์เข้ามามีบทบาทในฐานะ “ทองคำดิจิทัล” เพราะมันคือสินทรัพย์ดิจิทัลเพียงชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติเป็น Digital Outside Money อย่างแท้จริง คือ ไม่มีผู้ออก (Issuer), ไม่พึ่งพาผู้รับฝากทรัพย์สิน (Custodian) และไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา (Counterparty Risk) แม้จีนจะไม่มีท่าทีสนับสนุนบิทคอยน์ แต่ยุทธศาสตร์การหันไปหาสินทรัพย์ที่ควบคุมได้เองและยึดครองยาก (Seizure-resistant) ของจีน กลับเป็นการ “ตรวจสอบและยืนยัน” (Validate) เหตุผลในการมีอยู่ของบิทคอยน์โดยอ้อม นักลงทุนสถาบันในโลกตะวันตกมองเห็นความเชื่อมโยงนี้ว่า ในขณะที่มหาอำนาจเผด็จการเลือกใช้ทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง ภาคเอกชนก็กำลังเลือกใช้บิทคอยน์ด้วยเหตุผลเดียวกัน ข้อมูลสถิติยืนยันความสัมพันธ์นี้ โดยพบว่าค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างบิทคอยน์และทองคำในรอบ 180 วัน ได้พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.9 ในเดือนตุลาคม ก่อนจะปรับตัวลงมาที่ 0.67 ในต้นเดือนธันวาคม

การเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันนี้ สะท้อนว่านักลงทุนเริ่มมองบิทคอยน์ในมุมใหม่ ไม่ใช่แค่สินทรัพย์เทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูง (High-beta Tech Play) อีกต่อไป แต่เป็นสินทรัพย์ที่ตอบสนองต่อปัจจัยมหภาค เช่น การเสื่อมค่าของเงินตรา และความเสี่ยงด้านหนี้สาธารณะ ในลักษณะเดียวกับทองคำ ปัจจัยเร่งสำคัญที่ผลักดันให้นักลงทุนหันมาหาสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Hard Assets) คือสถานะทางการคลังที่ย่ำแย่ของสหรัฐฯ ซึ่งคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้สูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2569 สภาพแวดล้อมที่รัฐบาลพิมพ์เงินออกมาอย่างมหาศาลนี้ เป็นแรงส่งชั้นดีให้กับสินทรัพย์ที่มีอุปทานจำกัดอย่างทองคำและบิทคอยน์ โดยเฉพาะบิทคอยน์ที่มีจำนวนจำกัดตายตัวตามหลักคณิตศาสตร์ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าทองคำในแง่ของความขาดแคลน (Scarcity) ตรรกะเดียวกัน ในโลกคู่ขนาน: ทั้งสองสินทรัพย์กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยตรรกะเดียวกัน คือการเป็น “เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของเงิน” (Hedge against debasement) ในยุคที่ผลตอบแทนที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ