ทำไมการ Freeze Wallet ถึงล่าช้า? ใครจะไปคาดคิดว่า Tether ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการ Stablecoin รายใหญ่ของโลก จะมีช่องโหว่ในกระบวนการ Blacklist ที่ทำให้มีผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสย้ายทรัพย์สินไปได้กว่า 78 ล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว! การ Blacklist ของ Tether โดยปกติจะมีสองขั้นตอน ได้แก่ การเพิ่มที่อยู่ไปยังรายชื่อ (addBlackList) และการยืนยัน Freeze จริงบน smart contract แบบ multisignature บน Ethereum และ Tron แต่จุดอ่อนอยู่ตรงที่ระหว่างสองขั้นตอนนี้สามารถกินเวลาหลายนาที จนเปิดช่องให้กลุ่มแฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดีไหวตัวทันและทำการโอนเงินหนีได้สำเร็จ

เคสตัวอย่างและตัวเลขที่น่าสนใจ เคส Tron: มีการส่งคำสั่ง Blacklist เวลา 11:10:12 UTC แต่การดำเนินการ Freeze จริงเกิดขึ้นเวลา 11:54:51 UTC นับเป็นความล่าช้าถึง 44 นาที ตัวเลขการย้ายเงิน: ตลอดช่วงเวลาตั้งแต่พฤศจิกายน 2017 ถึงพฤษภาคม 2025 มีการยักย้ายทรัพย์สินบน Ethereum ถึง 28.5 ล้านดอลลาร์ และบน Tron อีกกว่า 49.6 ล้านดอลลาร์ จำนวนที่อยู่: เฉพาะบน Tron มี 4.88% ของกระเป๋า (3,480 addresses) ที่ได้ประโยชน์จากความล่าช้านี้ และทำธุรกรรมได้เฉลี่ยเกือบ 292,000 ดอลลาร์ต่อที่อยู่

แม้ระบบ multisignature ของ Tether จะมีไว้เพื่อเสริมความปลอดภัย แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ชัดเจนว่าความล่าช้านี้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิคหรือกระบวนการยืนยันของทีมงาน Tether เอง

กฎหมาย Stablecoin ยังทำท่าชะงัก ในอีกด้านหนึ่ง ประเด็นการออกกฎหมายควบคุม Stablecoin ในสหรัฐฯ ก็กำลังเข้มข้นไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น GENIUS Act หรือ STABLE Act ที่ยังค้างในสภาเพราะกระแสการเมืองและท่าทีไม่มั่นใจต่อภาคคริปโต โดยเฉพาะการเจรจาในวุฒิสภาที่นำโดย Sen. Bill Hagerty (R-Tenn.) ซึ่งมีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายสนับสนุนกระจายตัวอยู่ในทั้งสองพรรค ขณะที่ผู้นำฝ่ายเสียงข้างมากในวุฒิสภาอย่าง Chuck Schumer ก็ได้ขอความร่วมมือให้สมาชิกชะลอการสนับสนุนร่างกฎหมาย Stablecoin ฉบับปัจจุบัน จึงไม่แปลกที่กฎหมายเหล่านี้จะเดินหน้าได้ช้ากว่าที่คาด

สรุปและสิ่งที่ต้องจับตา ช่องโหว่ด้านความล่าช้าของการ wallet blacklisting ใน Tether นับเป็นเรื่องที่ผู้ใช้งาน DeFi, นักเทรด และผู้พัฒนาโปรเจกต์ต่างๆ ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะมันอาจเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีขโมยหรือฟอกเงินได้ ก่อนที่ระบบเคลมว่าจะจับกุมได้ทัน