จาก NFT สู่ Triceratops! เศรษฐีคริปโตสิงคโปร์ทุ่ม 1.6 พันล้านบาท ซื้อโครงกระดูกไดโนเสาร์!

สิงคโปร์— ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วงการสินทรัพย์ดิจิทัลเคยถูกขับเคลื่อนด้วยความบ้าคลั่งของ Non-Fungible Tokens (NFTs) แต่ดูเหมือนว่ารสนิยมของกลุ่มชนชั้นสูงในวงการคริปโตกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ล่าสุดมีการเปิดเผยว่ากลุ่มผู้บริหารและนักลงทุนคริปโตในสิงคโปร์ นำโดย Yoann Turpin ผู้ร่วมก่อตั้ง Wintermute และ Jihan Wu มหาเศรษฐีคริปโต ได้ทุ่มเงินก้อนโตเพื่อซื้อซากฟอสซิลไดโนเสาร์ที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงการโยกย้ายความสนใจจากสินทรัพย์ดิจิทัลที่มองไม่เห็น ไปสู่สินทรัพย์ทางกายภาพที่มีความเก่าแก่และจับต้องได้อย่างแท้จริง
กระแสการลงทุนที่น่าประหลาดใจนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อมีการรายงานว่าโครงกระดูก Triceratops อายุ 69 ล้านปี ซึ่งเป็นหนึ่งในฟอสซิลที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบ (มีเพียง 24 ชิ้นที่ได้รับการรับรอง) ได้ถูกซื้อโดยกลุ่มนักลงทุนคริปโตชั้นนำ รวมถึง Yoann Turpin แห่ง Wintermute และถูกนำไปเก็บไว้ที่ Le Freeport ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นคลังเก็บของที่มีการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Fort Knox แห่งเอเชีย” ที่น่าสนใจคือสถานที่นี้ยังอยู่ภายใต้การครอบครองของมหาเศรษฐีคริปโตอย่าง Jihan Wu สะท้อนให้เห็นว่าสินทรัพย์หายากประเภทนี้ได้กลายเป็น “Passion Project” ใหม่ของชนชั้นนำในโลกดิจิทัล โดยก่อนหน้านี้ Ken Griffin มหาเศรษฐีด้านการซื้อขาย ก็เพิ่งจ่ายเงินไปถึง $44.6 ล้าน หรือประมาณ 1,600 ล้านบาท สำหรับซากฟอสซิล Stegosaurus ซึ่งเป็นราคาประมูลที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ตอกย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงรสนิยมอย่างชัดเจนของเหล่าผู้มั่งคั่งในโลกคริปโต โดยย้ายโฟกัสจากการเก็งกำไรในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนสูง มาสู่การสะสมวัตถุที่มีมูลค่าทางประวัติศาสตร์และมีความหายากในระดับสูง ซึ่งให้ความรู้สึกมั่นคงและจับต้องได้มากกว่า หนึ่งในผู้ร่วมทุน Chaw Wei Yang ผู้บริหารแพลตฟอร์มสะสม Co-Museum ให้ความเห็นว่า การเข้าซื้อฟอสซิลนี้เป็นตัวอย่างของสินทรัพย์ที่ “จับต้องได้จริง แม้จะไม่สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย” โดยความหายากของมันทำให้ฟอสซิลเหล่านี้กลายเป็นสินค้าที่ไม่สามารถนำมาใช้แทนกันได้ (Non-Fungible) อย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจาก NFT ที่ยังมีความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์และความเป็นดิจิทัลอยู่มาก สะท้อนว่าความต้องการใน “Hard Assets” ที่มีปริมาณจำกัดกำลังกลับมาเป็นเทรนด์
การทุ่มเงินมหาศาลซื้อสินทรัพย์สะสมหายากที่มีลักษณะกายภาพนี้ ได้ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งระบบนิเวศการลงทุน โดยเฉพาะในเอเชียที่กำลังตื่นตัวกับเทรนด์สินทรัพย์ดิจิทัลใหม่ ๆ เช่นกัน ขณะเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียก็กำลังอยู่ในช่วงที่คึกคัก โดย Ismail Ibrahim มกุฎราชกุมารแห่งรัฐยะโฮร์ ได้เปิดตัว RMJDT Stablecoin ที่ผูกกับเงินริงกิตมาเลเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อการทำธุรกรรมที่รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น รวมถึงบริษัทใหญ่อย่าง Capital A (AirAsia) และ Standard Chartered Bank Malaysia ก็อยู่ระหว่างการสำรวจ Stablecoin เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางในภูมิภาคอย่างเกาหลีใต้ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากมีการเร่งรีบนำ Stablecoin มาใช้มากเกินไป การลงทุนในซากฟอสซิลจึงอาจเป็นภาพสะท้อนว่าแม้แต่กลุ่มผู้นำในโลกคริปโตเองก็ยังคงมองหา “ทางเลือกที่มั่นคง” นอกเหนือจากความเสี่ยงของตลาดดิจิทัลที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว









