บริษัทธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ เผยจะถึงจุดคุ้มทุนหากราคาบิทคอยน์ขึ้นไปที่ 9 แสนถึง 1 ล้านบาท เหตุค่าไฟแพง
ช่วงก่อนหน้านี้หลายบริษัทยักษ์ใหญ่ในไทยสนใจในธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์จนทำการศึกษาและลงทุน เนื่องจากช่วงปี 64 ราคาเหรียญดิจิทัลทั่วโลกต่างปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง จนหลายบริษัทมองเห็นเป็นโอกาสในการทำธุรกิจในอนาคต ก่อนที่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ตลาดเงินดิจิทัลเป็นขาลงอย่างชัดเจนทำให้หลายที่ต้องหยุดชะงัก หรือชะลอตัวไป
อย่างไรก็ตามในช่วงปี 66 นี้ ดูเหมือนว่าตลาดเงินดิจิทัลจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยราคาบิทคอยน์ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 36% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) โดยนับจากวันที่ 1 ม.ค.66 เปิดอยู่ที่ระดับ 16,541 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC มาปิดที่ระดับ 22,632 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC ในวันที่ 24 ม.ค.66
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2566 สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย จึงได้สำรวจบริษัทจดทะเบียน ที่เคยประกาศว่าจะลงทุนในเหมืองขุดบิทคอยน์ เพื่ออัพเดทความเคลื่อนไหวของธุรกิจนี้ ว่าจะถึงจุดคุ้มทุนได้เมื่อไหร่ หรือบริษัทที่เคยพักแผนลงทุนไป จะหันกับมาเดินหน้าในปีนี้อีกครั้งหรือไม่ ซึ่งจากการสำรวจราคาหุ้นกลุ่มเหมืองคริปโทในช่วง YTD พบว่าราคาในกลุ่มส่วนใหญ่เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ช่วงต้นปี ขณะที่บริษัทบางแห่งไม่มีการระบุรายได้จากเหมืองขุดคริปโทฯในงบการเงินล่าสุด รวมถึงบางบริษัทมีการประกาศชะลอแผนการลงทุนธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ในช่วงก่อนหน้านี้
ZIGA เผยเหมืองขุดบิทคอยน์กลับมาเดินเครื่องแล้ว 80% หลังราคาเริ่มฟื้นตัว
นายศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซิก้า อินโนเวชั่น (ZIGA) เปิดเผย “สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย” ว่าสำหรับธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ของบริษัทในปัจจุบันสามารถกลับมาเดินเครื่องได้แล้วกว่า 80% จากกลุ่มบริษัทที่มีเครื่องขุดบิทคอยน์รวมจำนวน 400 เครื่อง หรือเทียบเท่า 41,600 TH/s เนื่องจากราคาบิทคอยน์ที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จึงทำให้บริษัทกลับมารีสตาร์ทเหมืองขุดบิทคอยน์ใหม่อีกครั้ง
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทแบ่งธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกเป็นการใช้เหมืองขุดเอง ซึ่งจะมีการเดินเครื่องอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ได้เต็มกำลังการผลิตที่ 100% เนื่องจากค่าไฟที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและราคาบิทคอยน์ที่ยังไม่คุ้มค่ากับต้นทุนในการใช้เหมืองขุด อย่างไรก็ตามบริษัทมีการพยายามลดต้นทุนโดยการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ในโรงงานจำนวน 2 เมกะวัตต์ (MW) เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับค่าไฟของบริษัทให้ลดน้อยลง
ขณะที่ส่วนที่ 2 จะเน้นการซื้อเหรียญบิทคอยน์เข้ามาในช่วงที่ราคาเหรียญบิทคอยน์อยู่ในระดับต่ำและอาจมีการขายออกในช่วงที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งถือว่ามีการบริหารจัดการที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับต้นทุนค่าไฟที่เฉลี่ยอยู่ประมาณเดือนละ 2 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาบริษัทก็ได้มีการซื้อขายเหรียญบิทคอยน์แล้วกว่า 10-20 BTC ซึ่งบริษัทจะมีคณะกรรมการที่ดูด้านการเทรดเหรียญบิทคอยน์ขึ้นมาโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตามมองว่าธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์จะถึงจุดคุ้มกับต้นทุนหากราคาเหรียญบิทคอยน์ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 9 แสนถึง 1 ล้านบาท จึงทำให้ปัจจุบันยังไม่ได้มีการเพิ่มเครื่องขุดใหม่เข้าไป แต่มีเครื่องขุดสำรองที่เตรียมไว้อยู่แล้ว พร้อมยอมรับว่าตอนที่บริษัทซื้อเครื่องขุดมาคิดเป็นสัดส่วนค่าเครื่องประมาณ 10% จากราคาเหรียญบิทคอยน์ที่อยู่ระดับ 1.8 ล้านบาท
นายศุภกิจ กล่าวต่อว่าสำหรับผลประกอบการปี 66 บริษัทตั้งเป้าจะเทิร์นอะราวด์ได้อย่างแน่นอน 100% เนื่องจากคาดว่าธุรกิจขายเหล็กจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น หลังบริษัทปรับกลยุทธ์มามุ่งเน้นการขยายตลาดกลุ่มค้าปลีกที่มีมาจิ้นสูงเพิ่มมากขึ้น แตกต่างจากปีก่อนที่เน้นกลุ่มค้าส่งเป็นหลัก โดยปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) เข้ามาจำนวนมาก ประกอบกับคาดว่าปีนี้ธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์จะฟื้นตัวกลับมา พร้อมคาดว่ายอดขายรวมปีนี้จะกลับขึ้นไปแตะระดับ 1,000 ล้านบาทได้
ECF ยันไม่สนใจกลับมาลงทุนเหมืองขุดบิทคอยน์แล้ว หลังยุติกิจการไปตั้งแต่ปีก่อน
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) กล่าวว่าบริษัทได้ยุติการทำธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ไปตั้งแต่ปีก่อนแล้ว เพราะเป็นธุรกิจที่ยุ่งยากและราคาผันผวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบเล็กน้อย เพราะบริษัทไม่ได้เข้าไปลงทุนเครื่องขุดจำนวนมาก ส่วนราคาเหรียญบิทคอยน์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น มองว่าไม่ได้สนใจกลับมาลงทุนเหมืองขุดบิทคอยน์แล้ว เพราะธุรกิจเหล่านี้ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องของกฏหมายว่าจะออกมาอย่างไร บริษัทก็เลยไม่อยากเข้าไปยุ่ง
“ผมยกเลิกธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ไปดีกว่า เพราะก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ราคาเหรียญมันจะขึ้นหรือจะลง ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่ยุ่งยากและราคาก็ผันผวนค่อนข้างมาก” นายอารักษ์ กล่าว โบรกฯ ยังไม่เชียร์ “ซื้อ” เหตุยังไม่ใช่ขาขึ้นแท้จริง
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่าส่วนตัวมองว่าหุ้นที่ทำธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ยังไม่น่าสนใจ พร้อมยังไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อ เนื่องจากเชื่อว่าแนวโน้มราคาเหรียญบิทคอยน์ยังไม่ได้เป็นขาขึ้นอย่างแท้จริง เพราะปกติแล้วส่วนใหญ่สินทรัพย์ดิจิทัลมักปรับตัวได้ดีช่วงสภาวะการเงินผ่อนคลาย แต่ในปัจจุบันทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐยังเป็นขาขึ้นและจะเข้าสู่จุดสูงสุดในปีนี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจุดสำคัญที่จะทำให้ตลาดคริปโทฯเป็นช่วงขาขึ้นได้คือ เฟดต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง แต่คาดว่าคงไม่น่าเกิดขึ้นในปีนี้
ขณะที่มองว่าราคาเหรียญบิทคอยน์ที่ฟื้นตัวขึ้นมาในช่วงต้นปีได้บ้าง แต่ถือว่าระดับราคาดังกล่าวยังต่ำกว่าต้นทุนเฉลี่ยของผู้ประกอบการเหมืองขุดบิทคอยที่อยู่ราว 25,000-30,000 ดอลลาร์ต่อ BTC ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่อาจยังไม่ได้อยู่ในระดับที่สามารถทำกำไรหรืออาจมีกำไรที่ยังไม่สูงมากนัก ซึ่งผู้ลงทุนก็อาจเลือกเทรดได้ตามแนวโน้มราคาเหรียญที่ปรับตัวขึ้นเท่านั้น