เรื่องเล่าหน้าแคมป์ : Scam Story ย้อนรอยแชร์ลูกโซ่ Plus Token
เรื่องเล่าหน้าแคมป์วันนี้จะพาไปย้อนรอยกับหนึ่งในตำนานโปรเจกต์แชร์ลูกโซ่ที่สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์
จุดเริ่มต้น
ย้อนกลับไปในเดือนเมษายน 2018 ได้มีโปรเจ็กต์กระเป๋าเงินคริปโตชื่อว่า Plus ออกมา โดยทีมงานเบื้องหลังได้บอกว่า ถ้าเกิดผู้ใช้งานทำการฝากเหรียญเข้ามาไว้ใน Plus Wallet จะได้รับผลตอบแทนถึง 9-18% ต่อเดือน ในรูปแบบของ Plus Token โดยจำนวนผลตอบแทนขึ้นอยู่กับมูลค่าของเหรียญที่ฝากเข้ามาและการเชิญชวนต่อกัน ตามสไตล์ของแชร์ลูกโซ่
ที่นี้นักลงทุน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและเกาหลีใต้ ก็ได้พากันดาวน์โหลดและฝากเงินเข้าไปใน Plus Wallet เพราะผลตอบแทนที่ล่อตาล่อใจ
โกยเงินหนี
และในเดือนมิถุนายน 2019 ก็เริ่มมีสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาออกมา เมื่อผู้ใช้งานบางรายเริ่มบ่นถึงความล่าช้าในการถอนเงิน บางรายรอถึง 35 ชั่วโมงก็ยังไม่สามารถถอนเงินได้
ในทีแรก Plus ออกมาประกาศว่า ที่ถอนเงินได้ช้าก็เพราะว่าค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น แต่ผู้ใช้งานก็ไม่มีใครเชื่อ ต่างก็คิดกันว่า Plus กำลังโกหกและเริ่มตะหงิดๆ อยู่ในใจ
จนในที่สุด Plus ก็ได้ออกมาส่งข้อความว่า “Sorry, We have run” ที่กลายเป็นสัญญาณบอกว่า ทีมงานของ Plus Wallet ได้ทำการขโมยเงินของผู้ใช้งานและหนีไปแล้ว
ขโมย Bitcoin ไปมากกว่า 1% ของปริมาณ Bitcoin ทั้งหมด
การโกงของ Plus Wallet ได้สร้างความแตกตื่นไปทั่วทั้งตลาด เพราะจากรายงานของ Peckshield พวกเขาระบุว่าทีมงาน Plus Wallet ได้ขโมย Bitcoin ไปประมาณ 70,000 BTC หรือคิดเป็นเป็น 1% ของจำนวน Bitcoin ที่มีในตอนนั้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 700.84 ล้านดอลลาร์ ณ เวลานั้น นอกจากนี้ยังมี Ethereum อีก 789,511 ETH (142.11 ล้านดอลลาร์) และ 26,299,109 EOS (92.04 ล้านดอลลาร์)
นักลงทุนในตลาดตกอยู่ในความวิตกกังวล เพราะไม่รู้ว่าทีมงาน Plus Wallet จะทำการเทขายเหรียญที่ขโมยมาตอนไหน
การเทขายเหรียญของ Plus Wallet เป็นหนึ่งในสาเหตุของตลาดกลายเป็นขาลง ?
ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ที่ชื่อ Ergo ได้ออกมาบอกว่า เขาได้ทำการติดตาม Bitcoin ที่ถูก Plus Wallet ขโมยไป และพบว่าได้มีการโอน Bitcoin ไปยังกระดานเทรดต่างๆ เพื่อทำการเทขาย โดยเฉพาะ Huobi ที่มีการโอน Bitcoin เข้าไปมากที่สุด
Ergo ระบุว่ามีการเทขาย Bitcoin เฉลี่ยวันละ 1,300 BTC ตั้งแต่เดือนสิงหาคม – ธันวาคม 2019 ทำให้ราคาของ Bitcoin ค่อยๆ ลดลงจาก 9,981 ดอลลาร์ ในวันที่ 1 สิงหาคม เป็น 7,182 ดอลลาร์ในวันที่ 4 ธันวาคม
และการเทขายครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม ปี 2020 ด้วยจำนวนกว่า 13,000 BTC หรือประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ ณ เวลานั้น ทำให้ราคาของ Bitcoin ร่วงกว่า -10% จาก 8,900 ดอลลาร์ เหลือ 8,000 ดอลลาร์
และหลังจากนั้น ในวันที่ 12 มีนาคม องค์อนามัยโลกก็ได้ประกาศให้เชื้อไวรัส Covid-19 เป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลก ทำให้ราคาของ Bitcoin -50% ทันที่ และกลายเป็นจุดต่ำที่สุดก่อนเข้าสู่ตลาดกระทิงที่ลากยาวมากจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2021
ถูกจับกุม
วันที่ 30 กรกฏาคม 2020 สำนักข่าว CLS จากประเทศจีน รายงานว่าได้มีการเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 109 คนที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับโครงการ Plus Token โดย 27 เป็นผู้ที่ทำหน้าที่หลอกลวงผู้ใช้งาน ส่วนอีก 82 คนทำงานอยู่เบื้องหลัง
ทางการจีนได้ทำการยืดสินทรัพย์ของ Plus Token มูลค่ารวมกว่า 4,200 ล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็น
- Bitcoin 194,775 BTC
- Ethereum 833,083 ETH
- Litecoin 1,400,000 LTC
- EOS 27,600,000 EOS
- Dash 74,167 Dash
- Ripple 487,000,000 XRP
- Dogecoin 6,000,000,000 DOGE
- Bitcoin Cash 79,581 BCH
- Tether 213,724 USDT
โดยคริปโตทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ใน National Treasury ของประเทศจึน เนื่องจากการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศจีนนั้นเป็นสิ่งผิดกฏหมาย ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถทำการขอคืนสินทรัพย์ได้
ผู้เสียหายบางคนกล่าวติดตลกว่า อยู่ดีๆ พวกเขาก็ได้บริจาคเงินให้กับรัฐบาลโดยไม่ได้ตั้งใจ
การตัดสินคดีของ Plus Token สิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม ปี 2020 โดยบรรดาแกนนำต่างๆ ถูกตัดสินจำคุกกันไปคนละ 2-11 ปี และโดนปรับเงินตั้งแต่ 120,000-6,000,000 หยวน
ถึงแม้ว่าจะมีผู้เสียหายจำนวนมากจากการหลงเชื่อโปรเจกต์แชร์ลูกโซ่ที่มาพร้อมกับผลตอบแทนที่เย้ายวนใจเกินกว่าความเป็นจริง แต่ในปัจจุบันก็ยังมีผู้คนอีกมากที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้
ดังนั้น ขอผู้อ่านจงลงทุนด้วยความรอบคอบและระมัดระวังครับผม